สวัสดีค่ะนักเรียน วันนี้ ครูพี่แอน มีเรื่องของการใช้ direct speech และ Indirect speech มาให้ นักเรียน ของ ครูพี่แอน ได้เรียนรู้กันค่ะ ก่อนที่จะเข้าสู่บทเรียนนั้น เรามาทำความรู้จักกับความหมายของเจ้า Direct และ Indirect speech กันก่อนค่ะ ว่าคืออะไร ? มีความหมายอย่างไร ?
Direct speec
คือ คำพูดที่ออกมาจากปากผู้พูดโดยตรง เราลองมาแยกที่ละตัวเพื่อดูความหมายกันเลยค่ะ Direct หมายถึง ตรง Speech หมายถึง คำพูด อย่าที่ครูพี่แอนได้บอกไปแล้วก็ คือ คำพูด หรือ ประโยค ที่ออกมาจากปากของผู้พูดโดยตรง และ ประโยคนั้นเป็นของผู้พูดโดยตรงเลย
ตัวอย่างเช่น ถ้าครูพี่แอน พูดว่า ฉันหิวข้าว นี่คือ Direct speech หรือ ปีเตอร์พูดว่า ผมหิวแล้วครับ คำนี้เป็นประโยคที่ออกมาจากปากของปีเตอร์โดยตรง นี่ก็จะเป็น Direct Speech เช่นกันค่ะ
Indirect Speech
คือคำพูด หรือ ประโยคที่คนอื่น นำคำพูดของเจ้าของมาพูดอีกรอบหนึ่ง จึงทำให้ประโยคนั้นกลายเป็น Indirect Speech เนื่องจาก In ในที่นี้แปลว่า ไม่ ซึ่งความหมายก็คือ เป็นประโยคที่นำคำพูดของผู้อื่นมาพูดต่อ ไม่ได้พูดขึ้นมาด้วยตนเอง
ยกตัวอย่าง ครูพี่แอน พูดว่า ฉันหิวข้าว (นี่คือ Direct Speech ว่าออกมาจากปากของครูพี่แอนเอง) แต่ เมื่อครูพี่แอนพูด แล้ว นักเนียนนำประโยคนี้ไปบอกต่อ หรือว่านำ Speech ของครูพี่แอนไปพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ เช่น นักเรียนนำไปบอกเพื่อนคนอื่นว่า แกๆ ครูพี่แอน เขาบอกว่า เขาหิวข้าว นี่คือการนำประโยค ที่ครูพี่แอนได้พูดไปแล้ว มาพูดต่อใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช้ประโยคทางตรง จึงกลายเป็น Indirect Speech ลองดูอีกหนึ่งตัวอย่างกันค่ะ
เช่น ครูพี่แอน แอบชอบผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ สมชาย แล้วครูพี่แอน เดินไปบอกกับสมชายว่า สมชาย เรารักสมชายนะ (เรารักสมชายนะ เป็น Direct Speech ซึ่งครูพี่แอนเป็นเจ้าของประโยคนี้ แล้วครูพี่แอนพูดออกมาโดยตรง) แต่ว่า สมชาย นำไปบอกเพื่อนของเค้าต่อว่า นายๆ แอนหน่ะ เค้าบอกว่าเค้ารักฉัน ในที่นี้เป็นจะเป็น Indirect Speech เราไปดูตัวอย่าง อื่นๆที่ครูพี่แอน เตรียมมาสอนกันเลยดีกว่าค่ะ
Direct Speech
คือ คำพูด หรือ ประโยคที่ออกมาจากปาก ของผู้พูดโดยตรง ซึ่งประโยคเหล่านั้น ต้องเป็นประโยคที่ผู้พูดนั้น คิดเอง หรือ พูดออกมาเอง
ตัวอย่าง He said “ I always come to school in the afternoon.”
Indirect Speech
คือ ประโยคที่ เราไปนำของคนอื่นมาพูดซ้ำอีกครั้ง
ตัวอย่าง He said he always come to school in the afternoon. ประมาณนี้ค่ะ
นักเรียนสังเกตุไหมคะว่า ในภาษาไทยมีอะไรเปลี่ยนไป ก็คือสรรพนาม หรือ Pronoun นั้นเองค่ะ ซึ่งการเปลี่ยน Direct Speech และ Indirect Speech แม้กระทั่งในภาษาไทยก็ต้องเปลี่ยนที่ สรรพนาม เพราะเรานำคำพูดของคนอื่นมาพูดใหม่ แต่เราจะไม่ได้เปลี่ยนกริยา เนื่องจากภาษาไทยไม่ได้มีกริยาหลายช่อง แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ จะไม่ได้เปลี่ยนแค่ สรรพนาม แต่ จะมีกิริยา ช่องที่ 1 2 3 เข้ามาด้วย ถ้าเราจะเปลี่ยนประโยคจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech ต้องทำการเพิ่มความเป็นอดีตเข้าไปด้วย
ดั้งนั้น ในภาษาอังกฤษสำคัญมาก ต้องเพิ่มความเป็น อดีต ให้กับประโยคที่เป็น Indirect Speech ด้วยเพราะว่าการที่เรานำประโยคที่มีคนพูดไปแล้ว มาพูดใหม่ก็เหมือนกับ การนำอดีตมาเล่าใหม่นั้นเราจึงต้องทำให้รูปประโยคสือถึงอดีตด้วยเช่นกันค่ะ ลิ่งที่จบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ต้องใส่กริยา ช่องที่ 2 เข้าไปด้วยค่ะ
ตัวอย่าง
- Direct Speech : P’Ann said I go to school. V.1
- Indirect Speech : P’Ann said she went to school. V.2
(เมื่อไหร่ที่เป็น Indirect Speech ต้องเติมความเป็นอดีตเข้าไป)
- Direct Speech : P’Ann said I am walking. V.1
- Indirect Speech : P’Ann said she was walking. V.2 (อดีตในภาษาอังกฤษ ต้องเป็นกริยาช่องที่ 2 เท่านั้นนะคะ)
- Direct Speech : P’Ann said I will be here. V.1
- Indirect Speech : P’Ann said she would be there. V.2
(ที่สำคัญ อย่าลืมที่จะเปลี่ยนสถานที่ด้วย เพราะสถาณการณ์ที่เราพูดถึงนั้น ถ้าสถานมีการเปลี่ยนไปเราก็ต้องเปลี่ยนรูปของประโยคตามไปด้วยค่ะ เช่น ตรงนี้ เปลี่ยนเป็นตรง นั้น)
วันนี้ครูพี่แอนก็หวังว่านักเรียน ของครูพี่แอนจะเข้าใจเรื่องของ Direct speech และ Indirect speech ก็เพิ่มขึ้นนะคะ ถ้าใครสนใจอยากจะเรียนกับ ครูพี่แอนเพิ่มเติม ก็สามารถ สอบถามได้ที่ Facebook Page Perfect English กับครูพี่แอนได้เลยนะคะ จะมีแอดมินคอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอดค่ะ ถ้าชื่นชอบบทความสาระความรู้แบบนี้ก็อย่าลืม ช่วยกันกดแชร์ เป็นกำลังใจให้ครูพี่แอนด้วยนะคะ บทความอื่นๆคลิกเลย><