Part of Speech เรื่องง่ายๆที่มีสอบใน Toeic EP.1

สิ่งสำคัญอันดับแรกๆเลยนะคะในการเรียนภาษาอังกฤษ นั่นก็คือพื้นฐานนั่นเอง ถ้าเราพื้นฐานไม่แน่นพอ ยังไม่เข้าใจในเรื่องนั้นๆ การที่เราจะดันทุรังไปเรียนเรื่องต่อไปก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากจริงไหมคะ ดังนั้น ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษยังไม่แน่นพอ ครูพี่แอนขอให้มาเรียนปรับพื้นฐานด่วนๆค่ะ แล้วเรื่องในวันนี้ก็คือเรื่องที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆนั่นเอง นั่นก็คือเรื่อง Part of Speech ค่ะ วันนี้ครูพี่แอนจะส่งต่อคววามรู้ให้ทุกคนอย่างเข้มข้นเลยค่ะ เกริ่นมาขนาดนี้แล้วก็.. ไปดูกันเลย

Part of Speech คืออะไร?

ในภาษาอังกฤษ คำ คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของภาษา ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคำตามหน้าที่ในประโยคโดยหลักๆ แบ่งได้ 8 ประเภทคือ 

  1. Noun
  2. Pronoun
  3. Verb
  4. Adjective
  5. Adverb
  6. Preprosition
  7. Conjuction
  8. Interjection

Noun

Noun หรือ คำนาม เป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ เช่น

  • ชื่อคน (Kellen, Peter)
  • อาชีพ (teacher, Businessman)
  • ชื่อสัตว์ (fish, bird)
  • คนในครอบครัว (father, uncle)
  • ชื่อสถานที่ (London, shopping mall, restaurant)

Noun สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ uncountable noun(นามนับไม่ได้) และ countable noun(นามนับได้)

ประเภทของ Noun

countable noun

คำนามที่นับได้ คือสิ่งที่เราสามารถแยกได้ เป็นอัน หรือเป็นตัว อย่างชัดเจน หากมีการแตกหักแยกครึ่ง ก็ไม่สามารถนับของสิ่งนั้นเป็นสองชิ้นได้ แต่ของชิ้นนั้นจะเสียหายไปเลย

เช่น  pen ปากกา หากเราหักปากกาเป็นสองส่วน ก็ไม่สามารถทำให้เรามีปากกาสองด้ามได้

นี่เป็นข้อสังเกตเวลาดูว่านามอันไหนเป็นนามนับได้ หรือนับไม่ได้

จำไว้ว่า คนและสัตว์เป็นนามนับได้เสมอ ไม่ว่าสัตว์จะเล็กแค่ไหนก็ตาม เช่น ant หรือ worm ก็ยังถือว่าเป็นนามนับได้เสมอ

uncountable noun

คำนามนับไม่ได้ หากเป็นสิ่งของก็จะเป็นสิ่งของที่เป็นผง, เป็นของเหลว, เป็นของเละๆ ที่ขึ้นรูปไม่ได้, เป็นเม็ดหรือเป็นเส้นเล็กๆ ที่นับยาก เช่น powder, sand, salt, water, milk, juice, rice, hair เป็นต้น

สิ่งของที่ขึ้นรูปมาจากสิ่งที่เป็นผงหรือของเหลวก็เป็นนามนับไม่ได้เหมือนกัน เช่น chalk, paper, chocolate, ice, bread, ice-cream, cake, pasta 

ยกตัวอย่าง chocolate เราสามารถขึ้นรูป chocolate เหลวหนึ่งชามเป็นขนมกี่ชิ้นก็ได้ ชิ้นเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ได้ เป็นรูปทรงอะไรก็ได้ หรือจะหักออกจากกันก็เพิ่มจำนวนชิ้นได้ ของที่เป็นแบบนี้จะเป็น นามนับไม่ได้

หากต้องการนับของที่เป็นนามนับไม่ได้จะต้องใส่หน่วยการชั่ง ตวง วัด ให้มัน เช่น

  • a carton of milk
  • a cup of tea
  • a bar of chocolate
  • a loaf of bread
  • a piece of cake

นอกจากนี้ คำนามที่เป็นนามธรรมก็เป็น นามนับไม่ได้ เช่น ethic, knowledge, money

ถ้าเป็นภาษาไทยคำที่ขึ้นต้นด้วย “การ” และ “ความ” ก็เป็นนามนับไม่ได้ เช่น infection(การติดเชื้อ), service(การบริการ), swimming(การว่ายน้ำ), drinking(การดื่มน้ำ), hope(ความหวัง)

ตำแหน่งของ Noun ในประโยค

คำนาม สามารถเป็น ประธาน(subject) และเป็นกรรม(object) ของประโยคได้

  • คำนามที่อยู่ต้นประโยค (ทำหน้าที่เป็นประธาน) เช่น The boss likes Scott very much. ประโยคนี้ คำนามที่เป็นประธานคือ boss คำนามที่เป็นกรรมคือ Scott
  • คำนามตามหลัง adjective เสมอ พูดง่ายๆ คือ ถ้ามี adjective ต้องมีนามตามหลัง เช่น cheap book (cheap เป็น adjective ส่วน book เป็นคำนาม)
  • คำนามอยู่หลัง preposition เสมอ เช่น He is looking for Scott. ประโยคนี้ for เป็น preposition Scott เป็นคำนาม
  • คำนามจะต้องตามหลัง article (a, an, the) พูดง่ายๆ คือ ถ้ามี article ต้องมีคำนามเสมอ เช่น a book, an apple
  • คำนามตามหลัง possessive adjective และ ‘s พูดง่ายๆ คือ อะไรที่แสดงความเป็นเจ้าของ ตามหลังด้วย คำนาม เช่น my car, your house, Scott’s umbrella

สิ่งที่ต้องระวังในการใช้ Noun

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับคนไทยคือเรื่องของ singular/plural เนื่องจากภาษาไทยไม่มีผัน noun เมื่อเป็นรูปพหูพจน์ ทำให้เรามักลืมจะผัน noun เวลาใช้ภาษาอังกฤษ

เช่น There were many person in the restaurant. คำว่า many แปลว่ามีมากกว่าหนึ่ง แต่ประโยคนี้เลือกใช้ person ที่เป็นรูป singular(รูป plural ของ person คือ people) ทำให้ประโยคนี้ผิดแกรมม่า

นอกจากนี้กฏการผัน singular ไปเป็น plural  โดยทั่วไปจะสามารถผันโดยเติม s หรือ es แต่บางคำก็จะเปลี่ยนคำไปเลยเช่น child เป็น children

วิธีที่ดีที่สุดคือต้องท่องจำ และต้องใช้คำศัพท์ และการผันบ่อยๆ จะทำให้เราจำหลักการเหล่านี้ได้ดีขึ้น

Pronoun

Pronoun (คำสรรพนาม) คือ คำที่ใช้เรียกแทน noun ในภาษาอังกฤษมี pronoun อยู่เพียง 7 ตัวเท่านั้นคือ I, You, We, They, He, She, It แต่จะผันไปตามหน้าที่ในประโยค

ความหมายของ pronoun แต่ละตัว

  • สรรพนามบุรุษที่ 1 : หมายถึง ตัวคนที่พูดประโยคนั้น
  • สรรพนามบุรุษที่ 2 : หมายถึง คนที่ฟังบุรุษที่ 1 พูด
  • สรรพนามบุรุษที่ 3 : หมายถึง คนที่บุรุษที่ 1 กล่าวถึง

I = สรรพนามบุรุษที่ 1 หากเราพูดคนเดียว

We = สรรพนามบุรุษที่ 1 หากเราพูดประโยคนั้นในฐานะของคนหลายคน หรือในฐานะขององค์กรเช่น We, the board comitte, would like to make some announcement. ในที่นี้ผู้พูดก็พูดในฐานะของคณะกรรมการบริษัทเป็นต้น

You = สรรพนามบุรุษที่ 2 

He/She = สรรพนามบุรุษที่ 3 หากเรากล่าวถึงบุคคลอื่นในบทสนทนา และพูดถึงคนนั้นเพียงคนเดียว เช่น เราจะเล่าเรื่องพี่สาวของเราให้เพื่อนฟัง เราสามารถเรียกพี่สาวเราได้ว่า She แทนคำว่า My sister ได้

It = สรรพนามบุรุษที่  3 ที่ไม่ใช่คน 

They = สรรพนามบุรุษที่ 3 They จะพิเศษกว่าคำอื่นๆ เพราะสามารถใช้ได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ พูดง่ายๆ ก็คืออะไรก็ตามที่อยู่เป็นกลุ่มๆ หรือเราต้องการเรียกรวมๆ ของทุกอย่าง ก็สามารถใช้ They ได้เลย

ชนิดของ Pronoun

Subject คือ pronoun ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น They like to be surrounded by people.

Object คือ pronoun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น Have you told her about our trip next week.

Possessive Adjective คือ pronoun ที่แสดงความเป็นเข้าของ แต่จริงๆ แล้วทำหน้าที่เป็น adjective ดังนั้นจะต้องตามด้วย noun เสมอ เช่น Her sister will be joining us today.

Possessive pronoun คือ pronoun ที่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ต้องตามด้วย noun เพราะตัวมันเองสามารถใช้แทน noun ได้ เช่น These books are mine.

Reflexive pronoun เป็น pronoun ที่ทำหน้าที่สองแบบ คือ

  1. ทำหน้าที่เหมือน adverb เป็นการบอกว่าทำสิ่งๆ นั้นด้วยตัวเอง เช่น Rebecca fixed the washing machine by herself. herself ในที่นี้หมายถึงตัว Rebecca เอง
  2. ทำหน้าที่คล้ายกับ object หากใช้ในความหมายเชิงทำกับตัวเอง กล่าวคือ ประธาน และกรรมของประโยคเป็นคนเดียวกัน  เช่น I hurt myself trying to lift too much weight. “ฉันทำตัวเองเจ็บจากการพยายามยกน้ำหนักที่มากไป”

Pronoun-table

ตารางแสดงการผัน pronoun ตามหน้าที่ในประโยค

ตำแหน่งของ pronoun ประโยค

ตำแหน่งของ pronoun ในประโยคขึ้นอยู่กับหน้าที่ของ pronoun นั้นๆ

  • หากทำหน้าที่เป็น subject ก็จะเป็นคำแรกของประโยค
  • หากเป็น object ก็จะอยู่หลัง verb 
  • หากเป็น posessive Adj จะอยู่หน้าคำนาม
  • หากเป็น posessive pronoun จะอยุ่ในตำแหน่งเดียวกับคำนาม
  • หากเป็น reflexive pronoun จะอยู่หลังกิริยาเพื่อบอกว่ามาขยายกิริยาตัวไหน

 

Verb

ในภาษาอังกฤษ Verb(คำกริยา) มีอยู่ 2 ประเภท คือ กริยาที่ต้องการกรรม(transitive verb) และกริยาที่ไม่ต้องการกรรม(intransitive verb)

วิธีดูว่าคำไหนต้องการกรรมหรือไม่ สามารถดูได้ใน dictionary มักจะมีตัวย่อว่า tv และ iv

การผัน verb ในภาษาอังกฤษ

สิ่งที่เราไม่ค่อยชินกับ verb คือ verb มีการผันรูป ซึ่งภาษาไทยนั้นไม่มี ซึ่งการผันรูปของ verb นั้นจะผันตาม 2 สิ่ง

ผันตาม Subject

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การใช้ verb to be ที่ต้องผันตามประธานของประโยค โดยเลือกให้ is am หรือ are ตามประธาน เช่น I am pretty. She is pretty.

ผันตาม tense

เช่น I was pretty เมื่อเปลี่ยนจาก Present Simple Tense มาเป็น Past Simple Tense เราก็ต้องผัน am มาเป็น was

รายละเอียดเรื่องการผันตาม tense จะอธิบายเพิ่มในหัวข้อ tense ใน ภาษาอังกฤษ

Adjective

Adjective : adj หรือ คำคุณศัพท์ เป็นคำที่ใช้ขยาย noun หรือ pronoun เท่านั้น เพื่ออธิบายว่าคน สัตว์ สิ่งของ นั้นเป็นอย่างไร

สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มด้วยคือ determiner ต่างๆ ก็ถือว่าเป็น adj ด้วย เช่น a, an, the, this, this, these, these, that, those 

การผัน adjective

adj สามารถผันเป็น comparative หรือ superlative ได้ เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบ มีกฏการผันดังตาราง

กฏการผัน-adj

การเปรียบเทียบในขั้นธรรมดาระหว่างของสองสิ่ง

การเปรียบเทียบในขั้นธรรมดาระหว่างของสองสิ่งว่าทั้งสองนั้นเท่ากัน

เราจะใช้คำว่า as…as เช่น My little sister is as tall as me. น้องสาวของฉันสูงเท่าฉัน

การเปรียบเทียบในขั้นกว่าจะใช้คำว่า than เพื่อแสดงว่าสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่ง

เช่น Your hair is longer than mine now. ผมของเธอยาวกว่าของฉันแล้วตอนนี้

ในบางครั้งการเปรีบบเทียบอาจจะไม่มีคำว่า than เพราะละสิ่งที่เอามาเทียบเอาไว้

เช่น She looks happier this week. ละคำว่า than usual/ than last week เอาไว้

การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด จะใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างสิ่งของที่มีมากกว่าสองสิ่ง

เช่น I can say that this is the most popular book this year. เปรียบเทียบหนังสือเล่มอื่นๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด

การผัน adjective

adj สามารถอยู่ใน 2 ตำแหน่งด้วยกันคือ หน้า noun และหลัง verb to be ยกตัวอย่งเช่น

  • That long dress looks very elegant. long เป็น adj อยู่นำหน้า dress
  • They are the best students in our class. the best เป็น adj อยู่ตามหลัง are ที่เป็น verb to be

บางครั้งอยู่หลัง adv หากมี adverb มาขยาย

  • your cupcake smells very good. คำว่า very เป็น adverb มาขยาย good ที่เป็น adj

Order of adjectives

ในภาษาอังกฤษ หาก noun ตัวนั้นถูก adj ขยายมากกว่า 1 ตัวต้องจัดลำดับในการวาง adj ตามลำดับให้ถูกต้อง

จำไว้ว่า adj ที่เป็น นามธรรม จะมาก่อน รูปธรรม

ปกติแล้วเราจะไม่ใช้ adj มาขยาย noun มากกว่า 5 คำ

ด้านล่างนี้เป็นตารางลำดับของ adj พร้อมตัวอย่าง

adj-order-table

เป็นยังไงบ้างคะกับความรู้เรื่อง Part of Speech ที่ครูพี่แอนนำมาฝาก วันนี้ครูพี่แอนขอจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ อีพีหน้า เดี๋ยวเรามาต่อกัน และสำหรับใครที่ยังไม่จุใจกับความรู้ในบทความนี้ ครูพี่แอนแนะนำ คอร์สเรียน TOEIC ตอบโจทย์คนที่อยากสอบโทอิคแล้วได้คะแนนสูงๆ เนื้อหาในคอร์สอัดแน่นความรู้ ดูแล้วเข้าใจ เปลี่ยนตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากซื้อคอร์สนี้ ใครสนใจทักไปหาแอดมินที่เพจ Perfect English ของครูพี่แอน ในช่องทางเฟซบุ๊ค หรือ แอดไลน์ แล้วสอบถามแอดมินที่ไลน์ได้เลยนะคะ ถ้านักเรียนชอบบทความแบบนี้ ช่วยกดดาว กดแชร์ให้ครูพี่แอนหน่อยนะคะ ครั้งหน้าครูพี่แอนจะนำเรื่องอะไรมาสอนอีก มาลุ้นกันค่ะ 

สำหรับใครที่สนใจสมัครสมาชิกพรีเมี่ยม ครูพี่แอนบอกเลยว่าคุณจะได้สิ่งที่คุ้มค่าแน่นอนค่ะ จะมีบทความมากมายที่คุณไม่ควรพลาด รวมสาระความรู้ ที่คุณไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน ในราคาประหยัด ถ้าหากสนใจ สมัครสมาชิกเลยค่ะ

About kradmin

Check Also

แจก คำศัพท์โทอิค (TOEIC) พร้อมคำแปล

คำศัพท์ ประเภทคำ ความหมาย Synonyms ตัวอย่างประโยค Affordable adj. ที่สามารถจ่ายได้ ราคาที่จับต้องได้ inexpensive, low-cost This special travel package …

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *